หนังสร้างจากนิยายเล่มแรก โดยจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ DUNE Part 1 และ DUNE Part 2 ซึ่งเนื้อหาหลักของภาค 1 จะเน้นไปที่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ความขัดแย้งทั้งหมดที่มาจากเกมการเมืองอันสกปรก รวมไปถึงการปูเรื่องราวและพื้นฐานของตัวละคร เหมือนเป็นการอารัมภบทเพื่อนำไปสู่เนื้อหาที่เข้มข้นขึ้นในภาค 2
โดยใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบเรียบเรื่อย ละเมียดละไม ไม่ได้มีจุดพีค หรือฉากแอคชั่นอะไรมากมายแต่ก็ต้องตั้งใจดูนิดนึงค่ะ เพราะหนังค่อนข้างล้ำลึกพอสมควร แถมยังคอยป้อนข้อมูลมากมายให้เราอยู่ตลอดเวลา ทั้งชื่อดาว ชื่อตระกูล ชื่อคน และเรื่องเล่าตำนานต่างๆ
ในส่วนของภาคที่ 2 เนื้อเรื่องจะเล่าต่อกันจากภาคแรกเลย ค่อนข้างเข้มข้น สนุก และดูง่ายกว่าภาคแรกมากค่ะ หลักๆ คือจะเน้นไปที่เรื่องการเมือง ศาสนา ความเชื่อ ความรัก การล้างแค้น และการมาถึงของ ‘ควิซาตซ์ ฮาดาราค’ เด็กชายผู้ถูกเลือก หรือผู้ปลดแอก
ส่วนซีรีส์เรื่อง ‘DUNE Prophecy’ นั้น เป็นการเล่าถึงการก่อตั้งสถาบัน เบเนเจสเซริต ขึ้นมา คือช่วงเวลาเกิดก่อนเหตุการณ์ในหนังเกือบ 10,000ปี
ประวัติศาสตร์ของจักรวาล Dune เริ่มต้นมาจากโลกในอนาคต ช่วงปี 23352 A.D. (คริสต์ศักราช) เป็นช่วงเวลาที่เผ่าพันธุ์มนุษย์และเทคโนโลยีถูกวิวัฒนาการไปจนถึงขีดสูงสุดเหนือกว่าปัจจุบันในทุกด้าน จนสามารถพากันเดินทางข้ามอวกาศและกระจายไปอาศัยอยู่ตามดาวอื่น ๆ ได้
โดยมนุษย์ได้สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเป็นทาสรับใช้อยู่หลายพันปีเลยค่ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าหุ่นยนต์ก็วิวัฒนาการกลายเป็นสมองจักรกลที่ชาญฉลาดหรือที่เรียกว่า AI (Artificial Intelligence) จนเริ่มมีการปฏิวัติและเกิดเป็นมหาสงครามครั้งใหญ่ที่ยืดเยื้อยาวนานระหว่างมนุษย์กับจักรกล มีชื่อเรียกกันว่า ‘บัตเลเรียน จิฮัด‘ ซึ่งผลสุดท้ายมนุษย์ก็เป็นฝ่ายชนะไปได้ในที่สุด!
หลังจากสงครามสิ้นสุดลง มนุษย์จึงแบนการใช้เทคโนโลยีอย่างเด็ดขาด รวมถึงทำลายพวกหุ่นยนต์ จักรกลต่างๆ จนหมดเกลี้ยง
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหนังไซไฟสุดล้ำเรื่องนี้ ถึงแทบจะไม่มียุทโธปกรณ์อะไรที่ดูไฮเทคเลย ก็เพราะผู้คนต่างพากันกลัวพวกจักรกล หรือ AI นั่นเอง
ส่วนการใช้ดาบและมีดหรือลูกดอกแทนการใช่ปืนนั้น ก็มาจากการที่มนุษย์สร้างเกราะสนามพลังขึ้นมา เพื่อใช้ป้องกันการถูกโจมตีระยะไกลด้วยความเร็ว ซึ่งวัตถุจำพวกปืนนั้นยิงไม่เข้า แถมถ้าใช้ปืนแบบเลเซอร์ก็จะยิงไปกระทบเกราะจนเกิดการระเบิดรุนแรงเป็นวงกว้าง ผู้คนจึงเลิกใช้ปืนกันไปโดยปริยาย แล้วหันมาฝึกการต่อสู้ด้วยดาบแทน โดยหนึ่งในนักดาบที่เก่งที่สุดในจักรวรรดิพาดิชาก็คือ ‘ดันแคน ไอดาโฮ‘ ที่เรียนวิชาดาบมาจาก ‘ดาวกีนาซ
และเมื่อไม่มีเทคโนโลยีใดๆ ให้ใช้งานได้อีก มนุษย์จึงเริ่มคิดค้นวิธีการใหม่เพื่อความอยู่รอด โดยหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนายกระดับของจิตแทน จนก่อตั้งเป็น ‘ศาสตร์แห่งการฝึกจิต’ ขึ้นมา โดยมี 2 สถาบันที่เก่าแก่ที่สุดคือ
สถาบันสเปซซิ่งกิลด์‘ (The Spacing Guild)
เน้นฝึกจิตในด้านการคำนวณ และควบคุมการสัญจรข้ามอวกาศ (ซึ่งเมื่อก่อนเป็นหน้าที่ของพวกคอมพิวเตอร์ AI) จนเกิดเป็นมนุษย์อีกกลุ่มที่เรียกกันว่า ‘เมนแทตส์’ หรือมนุษย์ผู้ฝึกจิตจนสมองสามารถคำนวณและประมวลผลได้ในระดับเดียวกับคอมพิวเตอร์
สถาบันเบเนเจสเซริต’ (The Bene Gesserit)
ตั้งขึ้นเพื่อสอนสตรีโดยเฉพาะ เป็นการฝึกพัฒนาพลังจิตและกายภาพ เช่นการหยั่งรู้อารมณ์ จับโกหก เพิ่มพลังเสริมแกร่งของร่างกายในการต่อสู้ หรือแม้แต่การใช้โทนเสียงที่ถูกต้องเพื่อควบคุมบงการผู้อื่น
รวมถึงคอยคัดสรรด้านการผสมพันธุ์มนุษย์ โดยการส่งผู้ฝึกจิตของตนไปเป็นคู่ครองกับคนที่เหมาะสมหลายต่อหลายรุ่นเพื่อยกระดับเผ่าพันธุ์ เพื่อผลประโยชน์และการแทรกแซงทางการเมือง และเป้าหมายสูงสุดก็คือการสร้าง ‘ควิซาตซ์ ฮาเดอราค‘ มนุษย์เพศชายที่รู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง คือมีพลังที่สามารถมองเห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้นั่นเอง
เป็นช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรี่ส์เรื่อง ’DUNE Prophecy‘ นั่นเอง