มายาพิศวง เรื่องย่อ Six Characters ในกองถ่ายภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ตัวละคร 6 คน ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างปริศนา ตามหานักประพันธ์คนใหม่ที่จะเขียนตอนจบของเรื่องราวให้กับพวกเขา หลังจากนั้นประพันธ์ดั้งเดิมของพวกเขาเกิดตายจากโลกนี้ไป โดยที่ยังแต่งเรื่องไม่จบ คำรณ ผู้กำกับภาพยนตร์ของกองถ่ายแห่งนี้ได้ตกหลุมรักกับเรื่องราวของเหล่าตัวละคร และตัดสินใจสานต่อชะตากรรมของเราตัวละครทุกคนให้ไปจนสุดทาง
มายาพิศวง เป็นผลงานล่าสุดของ หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล
หรือว่าหม่อมน้อย โดยเป็นการหยิบเอานวนิยายชื่อดังระดับโลก ด้วยไอเดียที่ยังคงสดใหม่เหนือกาลเวลากับการที่เราตัวละครจากบทประพันธ์เกิดมีชีวิต และก็เดือนหน้าออกตามหาตอนจบของเรื่องราวชีวิตตัวเองทำให้สำหรับผม เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่น่าจับตามอง สิ่งแรกที่ต้องบอกกับผู้ชมทุกท่านก่อนเลย
ภาพยนตร์นั้นมันมีวิธีการนำเสนอที่ค่อนข้างเฉพาะตัว
กล่าวคือภาพยนตร์เรื่องจะผสมผสานศาสตร์ของละครเวทีเข้ากับวิธีการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ ด้วยการวางองค์ประกอบศิลป์ได้หลายฉากให้ออกมาเป็นภาพ 2 มิติเพื่อจำลองบรรยากาศของการนั่งรับชมอยู่ที่ขอบเวที มายาพิศวงเต็มเรื่อง การจัดวางเฟรมภาพและการจัดแสงที่แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของตัวละครโดยไม่ได้อ้างอิงหรือว่าคำนึงถึงความต่อเนื่อง ร่วมพิธีการแสดงแบบเล่นใหญ่ของนักแสดงทุกคนเพื่อดึงความสนใจของผู้ชมให้จับจ้องอยู่ที่เวทีตรงหน้าให้ได้นานที่สุด ผสมรวมกับวิธีการดำเนินเรื่องการตัดต่อและการเล่าเรื่องของภาพยนตร์ซึ่งหากว่ากันตามตรงแล้ว แม้ว่าวิธีการเล่าเรื่องดังกล่าวเนี่ยมันจะมีความแปลกใหม่และก็ชูศิลปะทั้ง 2 แขนงได้อย่างยอดเยี่ยม ในเรื่องของความชอบนั้นมันเป็นเรื่องที่น่าจะอธิบาย
โดยส่วนตัวแล้ว มายาพิศวง ผมรู้สึกไม่ถูกเส้นกับวิธีการนำเสนอของภาพยนตร์
เนื่องจากผมเนี่ยไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความต่อเนื่องรวมถึงความเป็นเนื้อเดียวกันของทั้งสองส่วนผสมได้มากอย่างที่ควรจะเป็นทุกอารมณ์ของเรื่องราวถูกกระชากขึ้นลงอย่างไร จังหวะและเมื่อทุกอย่างถูกผสมรวมกับรายเซ็นเฉพาะตัวของหม่อมน้อยไม่ว่าจะเป็นบทพูดยิ่งงดงามราวกับถอดแบบมาจากวรรณคดี แต่ก็ไร้ซึ่งความเข้าการทางบริบทของตัวละคร การใช้ภาพสโลโมชั่นโดยไร้ความจำเป็นการลดทอนสีของภาพในฉากย้อนอดีตเหตุการณ์อันพิลึกพิลั่นที่ผู้ชมหน่อยไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับมันในการรวมไปถึงการวางดนตรีประกอบที่บรรเลง เสียงบรรยากาศอยู่แทบจะตลอดเวลาแล้วเนี่ยทุกอย่างที่กล่าวมานี้มันผลักผมออกจากเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างน่าเสียดายมากๆ
หากไม่นับวิธีการนำเสนอที่ไม่ถูกปาก ภาพยนตร์ที่มีแก่นสารสำคัญที่อยู่เหนือกาลเวลามาก
และการสร้างดังกล่าวเนี่ยมันก็สามารถหยิบยกมาพูดถึงได้ในหลากหลายระดับมากๆ ชนิดอื่นที่สุดคงหนีไม่พ้นบรรดามุกตลกร้ายที่มึงโจมตีไปยังวงการภาพยนตร์โดยตรง กับการตั้งคำถามถึงเหล่าผู้สร้างที่หวังจะเอาชนะใจผู้ชมโดยไม่ได้คำนึงถึงจุดตั้งต้นที่แท้จริงของเหล่าตัวละครที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้นักแสดงที่มีชื่อเสียงก่อนนักแสดงที่มีความสามารถการสร้างภาพยนตร์ ที่ไม่ได้รับใช้สังคมเพื่อผลลัพธ์ทางการตลาดรวมถึงความขัดแย้งกันภายในกองถ่ายระหว่างนักแสดงผู้กำกับภาพยนตร์และเหล่าทีมงานผู้สร้างซึ่งเป็นเบื้องหลังที่ผู้ชมเนี่ยไม่เคยได้พบเห็นผ่านผลงานสุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนั้น
ภาพยนตร์ใช้เหล่าตัวละครทั้ง 6 คนเพื่อสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ในรูปแบบต่างๆ
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงตัวละครที่ถูกประพันธ์ขึ้นบนหน้ากระดาษแต่ผู้กำกับภาพยนตร์และเหล่านักแสดงซึ่งเป็นมนุษย์จริงๆ ตามท้องเรื่องเนี่ยกลับดูไร้ซึ่งความเป็นคนในการสาวไส้เอา เรื่องราวและโศกนาฏกรรมของเหล่าตัวละครทุกคนเนี่ยมาใช้ เพื่อสร้างความบันเทิงและก็เติมเต็มจิตวิญญาณความเป็นศิลปินในตัวของพวกเขา โดยทุกอย่างถูกถ่ายทอดในฐานะของผู้ถือครองอำนาจที่แสวงหาผลประโยชน์จากเรื่องจริงอันแสนเจ็บปวดของเหล่าตัวละครทุกคน หรือหากจะมองในเชิงของการวิจารณ์งานศิลปะการนับเป็นเหลี่ยมมุมที่น่าสนใจไม่น้อยนะ เนื่องจากเมื่อเราตัวละครและบทประพันธ์ถูกแต่งขึ้นมาแล้วทุกอย่างล้วนเป็นอิสระโดยปราศจากเงื่อนไข แม้กระทั่งจากปลายปากกาของผู้ประพันธ์เองก็ตามและรับเรื่องราวแล้วก็เส้นทางชีวิตของเหล่าตัวละครเนี่ยยอมถูกจับจดตีความ และถูกวิเคราะห์วิจารณ์อย่างหลากหลายหลายต่อหลายอย่างที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมานั้นมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของผู้ประพันธ์หรือไม่ได้สอดคล้องใดๆกับเส้นทางของเหล่าตัวละครเลยก็เป็นได้นะ