วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องที่มีชื่อ Day shift งานต้องล่า หนังแอคชั่นใหม่ที่ปล่อยออกมา ตัวหนังจะมาในเรื่องเกี่ยวกับ แวมไพร์ อาจจะไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไรมากมาย บางคนอาจจะเบื่อไปเลยด้วยซ้ำกับเนื้อเรื่องประมาณว่ากันตามตรงมันก็แทบจะล้น Netflix แล้ว
ถึงแม้ว่า Day shift จะมีความจำเจแต่ก็ยังมีความน่าสนใจไม่น้อย
เพราะเรื่องนี้คือผลงานของผู้กำกับอย่าง เจ เจ เพอร์รี่ โด่งดังมาจากการเป็นสตั้นหนังจอเงินมากมายทั้งเรื่อง jonh wick , Fast and Furious และซีรีย์ The Falcon and The Winter Soldier เห็นแบบนี้แล้วไม่แปลกใจครับว่าทำไมฉากบูีใน ภาพยนตร์จึงออกมาโครตจะเดือดเล่นท่ายากกันตั้งแต่ต้นเรื่องยันตอนสุดท้าย อีกทั้งการได้นักแสดงเบอร์ต้นๆอย่าง เจมี่ ฟ็อกซ์ มารับบทตัวเอกของเรื่อง หนังเองก็ดูมีชัยไปกว่าครึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมาท่านผู้ชมเห็นได้ว่าพี่แก่ชีวิตท้องรถและอยู่ในหนังใหญ่หลายเรื่องเลย และยังได้ สนูป ด็อกก์ ขวัญใจสายเขียวมาร่วมแจมในเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นการสร้างสีสันใหม่ๆในวงการหนังที่ดูเข้าท่าไม่น้อยเลย
เรื่องย่อ ของภาพยนตร์ Day shift งานต้องล่า
จะเล่าถึงเกี่ยวกับตัวละคร บัด จาบลอนสกิ คุณพ่อลูกหนึ่งที่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยการเป็นนักล่าแวมไพร์ ประเด็นที่มาที่ไปของแวมไพร์นั้นหนังเองก็ไม่ได้ลงลึกอะไรมากมาย แต่จะเล่าประมาณว่าในเมืองใหญ่นั้นเป็นเรื่องแวมไพร์หลากหลายประเภทและการกำจัดพวกดูดเลือดได้ ต้องมีนักล่าที่ก่อตั้งโดยสหภาพ อดีต บัด เคยอยู่ในสหภาพด้วยความที่เจ้าตัวนั้นก่อเรื่องเยอะ ก็เลยไม่เป็นที่ต้อนรับอีกต่อไปในองค์กร อยู่มาวันหนึ่งการล่าแวมไพร์ที่ดูเหมือนจะเป็นวันธรรมดาทั่วไปของเขาก็กลับกลายเป็นหายนะที่กำลังจะมาเยือนเขา เพราะเจ้าตัวดันไปฆ่าลูกสาวของแวมไพร์ที่มีอายุหลายร้อยปี มันจะเป็นต้นเหตุสำคัญของเขาที่จะต้องรับมือกับปัญหาหลายอย่างที่เข้ามาพร้อมกัน ทั้งเรื่องการถูกหมายหัวเรื่องการกลับไปสหภาพอีกครั้ง เพื่อหาเงินมาให้ลูกสาว หรือแม้แต่การต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กใหม่ตัวละครที่ชื่อว่า เซท พนักงานนั่งโต๊ะที่ไม่เคยออกไปลุยงานจริงสักครั้ง
คือต้องบอกว่าหนังเรื่องนี้ค่อนข้างเปิดหัวเรื่องมาดีใช้ได้เลย
ประเด็นของการล่าแวมไพร์กับการที่ทุกคนต้องการเขี้ยวของพวกมันมาเพื่อขายแลกกับเงิน ซึ่งแต่ละตัวก็มีมูลค่าแตกต่างกันออกไปรับ จำแนกตามอายุของพวกมันหรือประเภทของพวกมันนั่นเอง การพยายามขายจุดแข็งของหนังแอ็คชั่นต่างๆที่ เจเจ เพอร์รี่ คงเน้นตรงนี้เป็นพิเศษทั้งมุมกล้องการถ่ายทำ ทั้งการใช้อาวุธของบรรดานักปราชญ์ต้องยอมรับว่าทำตรงนี้ออกมาดูดีมาก ฉากที่บัดร่วมมือกับพี่น้อง นาซาเลี่ยนทั้งท่วงท่าลีลาของพวกแวมไพร์ที่ทำเอาคนดูเห็นแล้วก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามีมันนักกายกรรมชัดๆ
พูดกันถึงเนื้อเรื่องที่ทำให้คนดูรู้สึกแปลก และไม่เข้าใจในบางส่วน
ถ้าเส้นเรื่องและวิธีการเล่ามันออกมาแย่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนผู้ชมบ่นตามหลัง ซึ่งตัวผมเองเสียดายวัตถุดิบหลายอย่างที่นั่งปูไว้ในต้นเรื่อง ทั้งประเด็นสหภาพ แวมไพร์แต่ละสายพันธุ์หรือการแลกเปลี่ยนเพื่อเอาไปแลกเงินที่หนังเองสามารถขยี้ประเด็นเหล่านี้ให้มันลึกกว่าเดิมได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้ไม่สามารถหลุดพ้นความเป็นหนังตลาดสูตรสำเร็จทั่วไปได้เลย สปีดในการเล่าเรื่องที่ผมรู้สึกว่าช่วงกลางจนถึงช่วงท้ายหลายอย่างมันดูรวบรัดไปทั้งหมด อยู่ดีๆตัวละครอย่าง เซท ก็เกิดบางอย่างที่เปลี่ยนตัวเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือไปซะอย่างนั้น ตัวละครเพื่อนข้างห้องกับบัดที่ใส่เข้ามาให้เส้นเรื่องสลับซับซ้อนดูมีเบื้องลึกเบื้องหลังมากขึ้น แต่พอเรามานั่งคิดดูแล้วทั้งหมดมันก็ไม่สามารถทำให้คนดูอินกับหนังได้จริง ในส่วนของตัวละครนั้นพอซึ่งเบื้องหลังมันแย่มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดปัญหาการจัดสรรแอร์ไทม์ตัวละครที่มันไม่เท่ากัน
ทั้งการพยายามยัดเยียดบทดราม่าของ สนูป ด็อกก์ เข้ามาในช่วงท้าย
มันก็ยิ่งดูเหมือนฝืนเข้าไปใหญ่ ส่วนตัวร้ายในเรื่องต้องบอกว่าตัวเธอนั้นแทบจะโดนกลืนหายไปจากจอเลย ดูเป็นตัวโกงที่แบบไร้มิติที่คนดูและสามารถเดาเนื้อเรื่องได้เลยว่าตอนจบจะลงเอยแบบไหน เหมือนกับว่าเรื่องนี้ตั้งใจมาขายแค่ Action ตามความถนัดของผู้กำกับ เลยเน้นขายนักแสดงอย่าง เจมี่ ฟ็อกซ์ เป็นหลัก มากกว่าที่จะเล่าผ่านมุมมองของนักแสดงคนอื่น อีกทั้งการวางโครงเรื่องแบบหลวมๆ เพื่อให้หนังนั้นมีที่ลงในตอนจบ มันก็ดูเป็นงานที่ดูลวกไปสักหน่อย แต่ถึงอย่างไรนั้นหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าติดตาม ว่าจะมีภาคต่อหรือไม่
Cr : พูดถึงหนัง
รีวิวหนัง ข่าวภาพยนตร์ คำคมภาพยนตร์ สปอย Netflix Disney + Hotstar