Smile ยิ้มสยอง เรื่องย่อ ดร.โรส คอตเตอร์ แพทย์นักบำบัดในหน่วยจิตเวชฉุกเฉินได้พบเจอกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญเมื่อคนไข้ของเธอนั้นเพื่อตัดสินใจฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา การจบชีวิตตัวเองของคนไข้ครั้งนั้นกลายเป็นการส่งต่อคำศัพท์ลึกลับทำให้โรสได้พบเจอกับความสยองขวัญที่ตามติดเธอไปทุกที่และแสดงตัวด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการได้
Smile ยิ้มสยอง ภาพยนตร์สยองขวัญที่สะท้อนปัญหาสุขภาพจิต
ทันทีที่ผมรับชมตัวอย่างของภาพยนตร์เรื่อง Smile ยิ้มสยอง ความรู้สึกอยากพิสูจน์ภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็พุ่งเต็มปรอททันที เนื่องจากภาพยนตร์นั้นมาพร้อมกับไอเดียที่น่าสนใจโดยการนิยามคำศัพท์อันน่าสะพรึงกลัวให้มาในรูปแบบของรอยยิ้มซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งไมตรีจิตของมนุษย์
ในการรับด้วยหลังจากได้รับชมแล้วผมก็ได้พบว่า Smile ไม่ได้มีเพียงแค่ความสยองขวัญเท่านั้น หากแต่ยังมีประเด็นที่แข็งแรงซ่อนอยู่ในเรื่องอีกด้วย เรื่อง Smile มีทุกอย่างที่หนังสยองขวัญชั้นดีสักเรื่องต้องมีไล่มาตั้งแต่การสร้างตัวละครที่น่าเอาใจช่วยการสร้างบรรยากาศอันไม่น่าไว้วางใจ
การกดดันผู้ชมจนถึงขีดสุดรวมถึงการสร้างโมเม้นจั้มสแกที่แม่นยำ
และก็สามารถจุผู้ชมได้อย่างไม่ทันตั้งตัวกราฟโดยทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านงาน Production ที่ยอดเยี่ยมการออกแบบภาพให้สะท้อนถึงความวิกลจริตที่มันค่อยๆคืบคลานตัวละครอย่างช้าๆ ไม่ว่าจะด้วยการวางเฟรมภาพที่ผลิตจากองศาที่มันควรจะเป็นหรือการตัดสลับระหว่างภาพมุมกว้างกับภาพ close up ตัวละครแบบสุดขั้วมันก็สามารถสะกดผู้ชมให้ติดอยู่กับความวิปลาสของเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ
ผสมผสานกับการออกแบบเสียงและดนตรีประกอบอันผิดธรรมชาติด้วยการหยิบเอาสิ่งที่ผู้ชมไม่เคยได้ยินในชีวิตจริงมาเป็นองค์ประกอบในการสร้างความสยองขวัญลึกลับสลับกับการใช้ความเงียบให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่การตัดต่อของภาพยนตร์นั้นก็สามารถคุมจังหวะของเรื่องราวได้ยินอยู่มาอีกทั้งยังปั่นหัวผู้ชมจนสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่ต่างจากตัวละครเลย แม้ว่าภาพยนตร์จะสามารถสร้างโมเมนต์ทวนสะดุ้งให้กับเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยมแต่
ตัวหนัง Smile ยิ้มสยอง เลือกจะใช้จั้มสแกเป็นอาวุธหลัก
เพราะว่ามันมีมากเกินไปจนมันทำลายอรรถรสความระทึกขวัญเชิงจิตวิทยาซึ่งเป็นสิ่งที่ไหนเนี่ยทำได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้กันครับเรื่องที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ภาพยนตร์มาพร้อมกับไอเดียที่ชาญฉลาดโดยนอกจากจะเปลี่ยนรอยยิ้มแห่งความสุขให้กลายเป็นภัยคุกคามอันน่าสะพรึงกลัวแล้วตัวนั้นยังเลือกจะโยนสถานการณ์ทั้งหมดเข้าสู่ตัวละครอย่าง ดร.โรส ด้วยอาชีพจิตแพทย์ และนักบำบัดทำให้เธอเป็นตัวละครที่ควรจะมีสติที่สุดในเรื่องใดครับได้ทุกอย่างที่เธอต้องพบเจอนั้นกลับเปลี่ยนให้เธอเนี่ยกลายเป็นคนไร้สติในสายตาของคนรอบข้างได้
ขณะที่อาถรรห์หรือว่าคำสาปที่ตัวละครได้รับมานั้นมันไม่ได้ถูกนำมาใช้ในเชิงปริศนาที่ต้องการคำตอบแน่ชัดแต่มันคือสัญลักษณ์ของประเด็นที่ตัวหลังต้องการจะนำเสนอมากกว่าครับดังนั้นแม้ว่าการสืบสวนหาคำตอบของตัวละครนั้นจะน่าติดตามขนาดไหนแต่การเฉลยปริศนาของเรื่องมันอาจจะไม่ได้ถูกใจผู้ชมมากเท่าไหร่นะครับส่วนที่ผมรู้สึกมีปัญหาอยู่
เหตุการณ์ในช่วงไคลแมกซ์ของภาพยนตร์ตีความออกมาได้อย่างแฟนตาซีจนเกินไป
รู้สึกว่ามันขาดกับแนวทางที่ภาพยนตร์เป็นมาตลอดทางเลือกรับตามตรงนะครับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับชม การแสดงของ โซซี่เบคอน และเธอก็สามารถทำให้ผมประทับใจได้ในฉันฉีกรับด้วย โซซี่เบคอน ถ่ายทอดการต่อสู้กับอาการทางประสาทของตัวละครออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆในขณะเดียวกันก็สามารถแสดงถึงความเปราะบางทางอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในออกมาได้อย่างน่าทึ่งนะครับการควบคุมสติไม่ให้เตลิดเปิดเปิงฉันที่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีดของตัวละครเนี่ยยิ่งขับเน้นให้การแสดงของ โซซี่เบคอนเปล่งประกายมากขึ้นในทุกวินาทีบนจอภาพยนตร์ครับ
ดูรีวิวหนัง สยองขวัญ ที่คล้ายๆกันอย่าง คืนหมีฆ่า The World of Killing People