วันพฤหัสบดี, 27 มีนาคม 2568

มังกรหยก : จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ความแค้นและความเกลียดชัง

มังกรหยก : จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ความแค้นและความเกลียดชัง

นื้อหาใน มังกรหยก ภาคนี้ เล่าภาคของวีรบุรุษอินทรี ที่มีตัวเอกเป็นก๋วยเจ๋ง-อึ้งย้ง มันคลาสสิคตรงที่ได้เห็นการผจญภัยไปทั่วยุทธภพ ไปเจออาจารย์เจ็ดประหลาด ไปเจอห้าจอมยุทธ์ไปเจอคัมภีร์นพเก้า และอีกมากมาย ซึ่งเอาจริงๆควรทำเป็นหนังสามภาค แต่เฮียฉีเคอะผู้กำกับ ดันไปเลือกส่วนที่ส่วนตัวคิดว่า”สนุกน้อยที่สุด” ของการผจญภัย มาใช้เป็นวัตถุดิบการเล่าเรื่อง แต่ดัน “เล่าได้มันส์” และเข้าใจได้มากๆว่าทำไมต้องพาร์ทนี้ ดูหนังมังกรหยกจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่

มันคือช่วงที่ก๋วยเจ๋ง ต้องเลือกระหว่างบุญคุณกับแผ่นดิน จะปกป้องจงหยวนแผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่ หรือจะเข้าร่วมกับท่านเจงกิสข่านชาวมองโกลผู้ให้อุปการะ

มังกรหยก นิยายของกิมย้งเอง มีความชาตินิยมสูง

การเล่าเรื่องของพาร์ทนี้ จึงเป็นเรื่องความรักในแผ่นดินเกิดตามสมัยนิยม ซึ่งอาจจะดูกึ๋ยๆนิดนึง แต่มองจากบริบทแวดล้อม ภาพยนตร์ ที่ คล้าย กับ มังกร หยก จอม ยุทธ์ ผู้ ยิ่ง ใหญ่ ว่านี่คือหนังที่ปะหัวตัวโตๆว่าสร้างจาก China Film ซึ่งก็คือสร้างหนังในนามรัฐบาล การได้เห็นอะไรแบบนี้ ในยุคหนังจีนแผ่นดินใหญ่ (แม้แต่ฝั่งฮ่องกง) จะสกรีนเซนเซอร์ตัวเอง ไม่เล่าเรื่องอาชญากรรมปัจจุบัน แล้วหนีไปทางยุทธภพ แฟนตาซี เลือกความรักชาติรักแผ่นดิน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดที่ขาดความอิสระ ก็ดูเป็นทางรอดที่ช่วยไม่ได้ของฝั่งคนทำหนังจีนที่เข้าหาแผ่นดินใหญ่ เฉกเช่นหนังจีนที่ผ่านๆมาในรอบยี่สิบปี

มังกรหยก นิยายของกิมย้งเอง มีความชาตินิยมสูง

เอาจริงๆลุงฉีเคอะ ก็เคยใส่อะไรทำนองนี้ไว้สมัยทำ หวงเฟยหง มาก่อน ความรักชาติ ความสำนึกแผ่นดินเกิด (หรือจะเรียกว่าสำนึกในแผ่นดินใหญ่)

พอเล่าพาร์ทนี้เป็นหลัก พวกงานเหล่าจอมยุทธ์เลยมาในรูปแบบของฉากย้อนอดีต ที่เต็มไปด้วยกำลังภายในและการต่อสู้แบบสั้นๆ แต่เข้มมาก จนรู้สึกว่าอยากดูแบบนั้นทั้งเรื่องมากกว่า moviesut

แต่ถึงยังงั้นมันก็ยังคงไว้ลายสไตล์ความมันส์ และความเบียวของซีน อาทิ เกาะดอกท้อ ซีนออกตามหากันด้วยกังหันลม ซีนสายล่อฟ้า ซึ่งถ้าไม่ใช่สไตล์แบบนี้ก็เชื่อยาก มันออกจากจิตวิญญาณแบบโปเยโปโลเยมากๆ คือ ความเว่อร์แต่มีจิตวิญญาณแบบโรแมนติก ความขยี้แบบแม่มเอ้ย กูรู้แหละว่าเบียว แต่ได้กูจริงๆ

หรือฉากต่อสู้ที่ถึงจะหนักไปทางซีจีไอ แต่ถื้นฐานแบบหนังฉีเคอะคือการกระโดดห้อยโหนแบบสลิง ยังหยอดๆไว้ให้นึกถึงหนังกำลังภายในยุค 80-90 อยู่

อีกอย่างคือการได้ดูพาร์ทนี้ คือเหมือนปราบบอสใหญ่ของเรื่อง คือมาไฝว้กับพิษประจิม ก็เข้าใจได้ เพราะถ้าจะลากยาวแล้วไปเล่าเรื่องที่ไม่รู้จะไปจบตรงไหน ความรู้สึกมันจะค้างคาเหมือนดู Dune Part 1 จบ เพราะงั้น เอางี้แหละเข้มๆไปเลย มังกร หยก จอม ยุทธ์ ผู้ ยิ่ง ใหญ่ hd

หลายๆอย่าง มังกรหยก ลดทอนจากนิยายไปเยอะ

หลายๆอย่าง ลดทอนจากนิยายไปเยอะ

แต่ก็ช่างมัน เพราะเห็นแนวทางว่าคงผ่านโจทย์การทำงานมาค่อนข้างเยอะ แล้วก็หาทางเล่าแบบนี้ได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว Direction ของฉีเคอะ ทำให้เรากลับมาชอบหนังได้อีกครั้ง เพราะที่ผ่านมา ยอมรับว่าห่างหายจากซีรีส์ละครกำลังภายในยุคหลัง ด้วยเมคอัพและเสื้อผ้าที่หลุดไปไกลเกินจะเข้าใจ แต่ไดเรคชั่นนี้ยังได้สวยได้หล่อ แต่ยังขมุกขมอมตามสไตล์จอมยุทธ์น้ำไม่อาบ ตังไม่มีได้อยู่

ไม่ได้รู้จักกับเซียวจ้าน แต่ที่แน่ๆโดนนางเอก ที่เป็นเดอะแบกของเรื่องตกกระจุย เหนือสิ่งอื่นใด เหตุผลหลักที่เชื้อเชิญให้ไปดู มังกรหยกภาคนี้ และต้องพากย์ไทยเท่านั้น คือการได้ฟัง ทีมพันธมิตรเป็นครั้งสุดท้าย

อิ่มเอมมากๆ สำหรับการได้ยินเสียงที่เรารู้เลยว่ารวมทีมใหญ่จริงๆ จากยุคเก่าๆ จากหนังมงคลเมเจอร์ จากยุค EVS ก็มาครบ จังหวะมุกตลกไม่เยอะซึ่งไม่ได้คาดหวังว่าต้องเยอะอยู่ละ แต่อย่าให้เงียบนะ มีจังหวะเมื่อไหร่ คมแสกหน้าเหมือนเดิม

สำหรับเราเอง พันธมิตรคือ Pop Culture ภาพยนตร์ของยุคเราเอง ส่วนตัวไม่มีความรู้สึกแบ่งแยกเรื่องการดูภาพยนตร์เป็น Soundtrack หรือพากย์ไทย สะดวกดูหรือชอบแบบไหนก็ดูได้ แต่พันธมิตรคือเหมือนเราโตมากับเขา ใครเคยดูคลิปที่ช่อง จะรู้ว่าทั้งแอดบีแอดบอล มักจะยกตัวอย่างไดอะลอคจากหนังทีมพากย์พันธมิตรมาเสมอ เพราะเรารักพวกเขาจริงๆ